เมนู

3. จักวากชาดก



ว่าด้วยนกจักรพราก



[1453] ดูก่อนจักรพราก ท่านมีสีสวย รูปงาม
ร่างกายแน่นแฟ้น มีสีแดงดังทอง ทรวดทรง
งาม ใบหน้าผุดผ่อง.
[1454] ท่านจับอยู่ที่ฝั่งคงคา เห็นจะได้กิน
อาหารอย่างนี้ คือปลากา ปลากระบอก ปลา
หมอ ปลาเค้า ปลาตะเพียนกระมัง.
[1455] ดูก่อนสหาย สิ่งอื่นนอกจากสาหร่าย
และแหนแล้ว เรามิได้ถือเอาเนื้อสัตว์บกหรือ
สัตว์น่ามากินเป็นอาหารเลย สาหร่ายและแหน
เท่านั้นเป็นอาหารของเรา.
[1456] ดูก่อนสหาย เราไม่เชื่อว่าอาหารของ
นกจักรพรากเป็นอย่างนี้ แม้เรากินอาหารที่
คลุกเคล้าด้วยเกลือและน้ำมันในบ้าน.

[1457] ซึ่งเป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้ออันสะอาด
ทำกินกันในหมู่มนุษย์ ดูก่อนนกจักรพราก
ถึงสระนั้นสีของเราก็ไม่เหมือนท่าน.
[1458] ท่านเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย จึงต้อง
คอยมองดูผู้ที่ผูกเวรในตน เพียงแต่จะกินก็
สะดุ้งแล้ว เพราะเหตุนั้น สีกายของท่านจง
จึงเป็นเช่นนี้.
[1459] แน่ะท่านธังกะ ท่านเป็นผู้ถูกคนทั่วโลก
โกรธเคือง อาหารที่ท่านได้มาด้วยกรรมอัน
ลามก ย่อมไม่อิ่มท้อง เพราะเหตุนั้น สีกาย
ของท่านจึงเป็นเช่นนี้.
[1460] ดูก่อนสหาย ส่วนเรามิได้เบียดเบียน
สัตว์ทั้งปวงมากิน มีความขวนขวายน้อย ไม่มี
ใครรังเกียจ ใจไม่ห่อเหี่ยว ภัยแต่ที่ไหน ๆ
ก็มิได้มี.
[1461] ท่านนั้นจงสร้างอานุภาพ ละปกติคือ
ความทุศีลของตนเสีย อย่าเบียดเบียนใคร

เที่ยวไปในโลก จะเป็นที่รักของชาวโลกเช่น
ตัวเรา.
[1462] ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ทำ
ทรัพย์ให้เสื่อมเอง ไม่ใช้ผู้อื่นทำให้เสื่อม มี
เมตตาจิตในสัตว์ทั่วไป ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับ
ใคร.

จบ จักกวากชาดกที่ 13

อรรถกถาจักกวากชาดกที่ 13



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุเหลาะเเหละรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า วณฺณวา
อภิภูโปสิ
ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นไม่อิ่มด้วยปัจจัยมีจีวรเป็นต้น เที่ยวแสวง
หาอยู่ว่าสังฆภัตมีที่ไหน กิจนิมนต์มีที่ไหน เป็นต้น พอใจอยู่ใน
เรื่องอามิสเท่านั้น ครั้งนั้นภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักหวังจะอนุเคราะห์เธอ
จึงกราบทูลกะพระศาสดา พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถาม
ว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้เหลาะแหละจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้น
กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุเธอบวชในศาสนา
ที่จะนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจึงเป็นผู้เหลาะแหละ ขึ้นชื่อว่า